อุทัยธานี พิธีบวงสรวงแถลงข่าวสานใยชาวไทยมอญ

ชาวไทยเชื้อสายมอญจังหวัดอุทัยธานี ร่วมกันทำพิธีบวงสรวงอัฐิบรรพพบุรุษเพื่อเตรียม พิธีตักบาตรปลายรวงข้าว สานสายใยชาวไทยมอญ เพื่อถวายเป็นพระชกุศลแด่สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบวมราชินินาถ พระบรมพระพันปีหลวง ในวันที่ 5 ธันวาคม 2568 นี้

ที่จังหวัดอุทัยธานี วันนี้ ( 26 พ.ย. ) ที่วัดป่าช้า บ้านหินโจน หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านเก่า อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวไทยเชื้อสายมอญของจังหวัดอุทัยธานี โดยชาวไทยเชื้อสายมอญต่างมาร่วมใจกันทำพิธีบวงสรวงอัฐิบรรพพบุรุษ โดยมี ว่าที่ร้อยตรี อัครจิรากุล นายอำเภอหนองฉาง ได้อัญเชิญอัฐิบรรพพบุรุษของชาวมอญมาบริเวณหลังอุโบสถที่มีเจดีย์ของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จากนั้นได้ทำการเปิดสำรับข้าวหรืออาหารประจำถิ่นอย่างเช่นแกงบอน น้ำพริกชาวมอญ รวมไปถึงสำรับขนมไทยโบราณ และผู้ที่มีเชื้อสายมอญและผู้ที่มาร่วมพิธีที่สวมใส่ชุดประจำถิ่นของมอญ ต่างนำพวงมาลัยมาคล้องที่เจดีย์เพื่อเป็นการบอกกล่าวและมีการร่ายรำของเด็กหรือเยาวชนผู้ที่สืบเชื้อสายมอญบ้านอุทัยเก่าซึ่งถือว่าเป็นการเชิญดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับได้รับรู้ถึงพิธีในวันนี้
จากนั้นทางว่าที่ร้อยตรี อัครจิรากุล นายอำเภอหนองฉาง นายสมหมาย อำภิน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองฉาง พ.ต.อ.อนันต์ วงศ์ศรีสุนทร ผู้กับการสถานีตำรวจภูธรหนองฉาง นายชาคริต ฉายวัฒนา กำนันตำบลหนองฉาง พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงกำหนดการจะพิธีตักบาตรรวงข้าว สานสายใยชาวไทยมอญเพื่อถวายเป็นพระชกุศลแด่สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบวมราชินินาถ พระบรมพระพันปีหลวง และเชิญชวนบรรดาชาวจังหวัดอุทันธานี และนักท่องเที่ยวให้มาร่วมพิธีของชาวมอญที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนานโดยในปีนี้จะจัดในพื้นที่ของทุ่งออกญา นาอำแดง สถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร อำเภอหนองฉาง ในวันที่ 5 ธันวาคม 2568 ที่จะถึงนี้ ในเวลา 07.00 น.เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าทั้งนักท่องเที่ยวและชาวจังหวัดอุทัยธานีจะทามชร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา
สำหรับความเป็นมาจากอดีตของชาวมอญเมื่อสมัยสุโขทัย ท้าวมหาพรหมได้มาสร้างบ้านเมืองขึ้นที่บ้านอุทัยเก่า (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอหนองฉาง) แล้วพาคนไทยมาอยู่ท่ามกลางชุมชนกะเหรี่ยงและชุมชนมอญจึงเรียกเมืองใหม่นี้ว่า “เมืองอู่ไทย” ตามกลุ่มหรือที่อยู่ของคนไทยตามความแตกต่างทางเชื้อสายของคนกะเหรี่ยงและมอญที่อยู่มาก่อน ต่อมาเกิดความแห้งแล้งเนื่องจากกระแสน้ำเปลี่ยนทิศ ทำให้การเดินทางสัญจรติดขัด บ้านเมืองแห้งแล้ง ผู้คนอดอยาก ผู้คนจึงทยอยอพยพไปอยู่อาศัยในที่แห่งอื่น เมืองจึงถูกปล่อยทิ้งร้างต่อมาในสมัยอยุธยา ชาวกะเหรี่ยงชื่อ “พะตะเบิด” เข้ามาปรับปรุงเมืองอู่ไทย โดยขุดทะเลสาบเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใกล้เมืองและได้เป็นผู้ปกครองเมืองอู่ไทยคนแรก จึงเรียกชื่อเมืองเพี้ยนเป็น “เมืองอุไท” ตามสำเนียงกะเหรี่ยง และมีฐานะเป็นหัวเมืองหน้าด่านชั้นนอก สกัดกั้นกองทัพพม่าที่จะเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ พระยาอุไทยธานี เจ้าเมืองอุทัย เห็นว่าตัวเมืองเดิมอยู่ห่างลำน้ำยากต่อการสัญจรไปมา รวมทั้งบ้านสะแกกรังซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันตอนนั้นเกิดเป็นตลาดค้าขายเจริญรุ่งเรือง จึงย้ายเมืองไปอยู่ที่บ้านอุทัยใหม่ (อำเภอเมืองอุทัยธานี) และจากนั้นมาก็อาศัยอยู่ตำบลอุทัยเก่าจนสิบเชื้อสายกันมาถึงปัจจุบันนี้ ควบคู่กับ วัดป่าช้า ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕๐ เดิมบริเวณที่ตั้งวัดนี้เป็นที่ป่าช้า ฝัง และเผาศพของชาวบ้าน และมีวัดโบสถ์ตั้งอยู่ใกล้เคียงก่อนแล้ว ต่อมาวัดโบสถ์ได้กลายสภาพเป็นวัดร้าง วัดป่าช้าก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในราวปี พ.ศ. 2375 จนมาถึงปัจจุบันเป็นเวลาถึง 193 ปี มาแล้ว
สามสอ จันทรังษ์ จังหวัดอุทัยธานี โทร.086 – 3325640











