มหาดไทย 4 เปิดเสวนาการยุติความรุนแรงต่อสตรีในระดับพื้นที่เน้นย้ำสตรีคือหัวใจสำคัญมิใช่แค่เรื่องของความยุติธรรมแต่เป็นเรื่องของศักยภาพของประเทศชาติ

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 เวลา 16.00 นาฬิกา ที่ห้องประชุมกิ่งจันชั้น 3 อาคารจันอินโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ ถนนท่าเรือ หมู่ที่ 7 บ้านคลองหิน ตำบลไสไทย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการเสวนาในหัวข้อการยุติความรุนแรงต่อสตรีในระดับพื้นที่ ซึ่งมีหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดกระบี่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาชน คณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดกระบี่ คณะขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดกระบี่ อาสาสมัครพัฒนางคมและความมั่นคงของมนุษย์ นักเรียน และนักศึกษาเข้าร่วมจำนวน 350 คน เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี

โดยมีนายอังกูร ศีลาเทวกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวรายงานและวัตถุประสงค์ของการจัดงานดังกล่าวว่า ในปี 1999 องค์การสหประชาชาติได้มีมติรับรองให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล สำหรับประเทศไทย คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 เห็นชอบให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี โดยทั่วโลกได้ใช้สัญลักษณ์ริบบิ้นสีขาวเพื่อแสดงออกถึงการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กสตรี และความรุนแรงในครอบครัวด้วย ประกอบกับกระทรวงมหาดไทย ได้มีการประชุมคิ๊กอ๊อฟ มอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการยุติความรุนแรงต่อสตรีในระดับพื้นที่ เน้นการเชื่อมโยงทุกระดับทุกหน่วยงานแบบไร้รอยต่อ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดยันผู้หญิงเป็นพลังสำคัญของประเทศมีบทบาทไม่แพ้ผู้ชาย
นายอังกูร กล่าวอีกว่า จังหวัดกระบี่จึงได้จัดกิจกรรมรวมพลังสตรีกับการขจัดความรุนแรงในระดับพื้นที่ และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติกงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแก่กลไกการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดกระบี่ ขึ้นในวันนี้โดยบูรณาการการขับเคลื่อนงานร่วมกับกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี องค์กรสตรี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกระบี่ โดยกิจกรรมก่อนหน้านี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี และในช่วงหลังจากนี้จะเป็นการเสวนา “การขจัดความรุนแรงต่อสตรีในระดับพื้นที่” โดยหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องจะได้พูดถึงบทบาทหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการขจัดความรุนแรงดังกล่าว
นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอชื่นชมจังหวัดกระบี่และทุกภาคส่วนที่ได้ริเริ่มโครงการที่บูรณาการสองภารกิจหลักของกระทรวงมหาดไทยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวเป็นวาระแห่งชาติ ยุติความรุนแรงเพื่อศักยภาพประเทศ สตรีคือหัวใจที่สำคัญของชาติ การยุติความรุนแรงต่อสตรีมิใช่แค่เรื่องของความยุติธรรม แต่เป็นเรื่องของศักยภาพของประเทศชาติ เพราะสตรีคือพลังสำคัญยิ่งทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ นโยบายป้องกันเชิงรุกของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำถึงภารกิจในการ ปกป้องประชากรเพศหญิงและมุ่งเน้นการทำงานแบบป้องกันเชิงรุก เราต้องการให้กลไกในพื้นที่โดยเฉพาะผู้นำชุมชนและเครือข่ายสตรี สามารถทำให้ทุกชุมชนเป็นพื้นที่ที่ผู้หญิงและเด็กรู้สึกปลอดภั และต้องสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือและคุ้มครองได้อย่างรวดเร็ว บูรณาการอำนาจทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเข้มแข็ง เราทราบดีว่า ปัญหาความรุนแรงมักมีความเชื่อมโยงกับปัญหาความเหลื่อมล้ำและเศรษฐกิจ
นางสาวศศิธร กล่าวอีกว่า ดังนั้นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนจึงต้องทำควบคู่ไปกับการเสริมสร้างพลังอำนาจให้กับสตรี บทบาทของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีคือเครื่องมือสำคัญที่อยู่ในมือของพวกเราทุกคน เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพ สตรีที่มีรายได้ที่มั่นคง มีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง จะมีทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ความรุนแรง การยกระดับการทำงาน โครงการนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของคนทำงานกองทุนทุกระดับ ให้สามารถบริหารจัดการกองทุนได้อย่างโปร่งใสและสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์สูงสุดให้กับสตรีในจังหวัดกระบี่ ขอให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนจงใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวองค์ความรู้ แนวทางการป้องกัน การแก้ไขปัญหา และกลับไปเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่จะนำพาความปลอดภัย ความเท่าเทียม และความมั่นคงทางเศรษฐกิจไปสู่ชุมชนของทุกคนต่อไป
นางสาวศศิธร กล่าวต่อไปว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการส่วนภูมิภาค ในการขับเคลื่อนนโยบายการขจัดความรุนแรงในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการมอบนโยบายครั้งสำคัญของนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นแกนกลางหลักในการดำเนินงานนโยบายและการดำเนินงานของผู้ว่าราชการจังหวัดในระดับพื้นที่ ดังนี้ 1. การขับเคลื่อนนโยบายจากส่วนกลางสู่การปฏิบัติในพื้นที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่รับนโยบายจากรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยมาแปลงเป็นการปฏิบัติในระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเช่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด สาธารณสุขจังหวัด และตำรวจภูธรจังหวัด เป็นต้น 2. การบูรณาการความร่วมมือและสร้างเครือข่าย ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำในการประสานงานและบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อให้การช่วยเหลือและการป้องกันครอบคลุมทุกมิติเช่น การจัดทำบันทึกความร่วมมือหรือเอ็มโอยูระหว่างหน่วยงานในชุมชน มีองค์กรอาสาสมัครในระดับพื้นที่เช่น คณะกรรมการสตรีหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาสาสมัครสาธารณสุข ที่คอยเป็นหูเป็นตาในการทำงาน ที่สามารถช่วยเหลือในเบื้องต้นพร้อมประสานหน่วยงานต่างๆเกี่ยวข้อง
นางสาวศศิธร กล่าวในตอนท้ายว่า 3. การดำเนินงานเชิงป้องกันและสร้างความตระหนักรู้มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง โดยการสร้างความตระหนักรู้ในพื้นที่ สนับสนุนบทบาทของโรงเรียน ครอบครัว และผู้นำชุมชนในการสังเกตสัญญาณความเสี่ยงและช่วยยับยั้งเหตุ ทั้งนี้ได้กำชับให้หน่วยงาน ท้องที่ท้องถิ่น สอดแทรกในการประชุมหรือเวทีต่างๆ 4. การพัฒนาระบบช่วยเหลือและคุ้มครอง กำกับดูแลและสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ช่วยเหลือต่างๆเช่น ศูนย์บริการช่วยเหลือแบบเบ็ดเสร็จในโรงพยาบาล และศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัวระดับตำบล เพื่อให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรงสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 5. การติดตามและประเมินผล ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทในการติดตามความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรคของการดำเนินงานในพื้นที่ และรายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีหรือหน่วยงานส่วนกลาง เพื่อปรับปรุงให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยสรุปผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางนโยบายและการปฏิบัติในระดับพื้นที่ เพื่อให้ทุกชุมชนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน










