ประชุม JBC สมัยพิเศษที่จันทบุรี

จ.จันทบุรี ประชุม JBC สมัยพิเศษที่จันทบุรี การเดินทางมาร่วมประชุมของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งที่แล้วในพื้นที่จังหวัดสระแก้วและยังคาดหวังว่าการแจ้ง การวางแนวรั้วในพื้นที่หลักเขตแดนชายแดนที่ตกลงกันได้แล้วจะถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือเชิงสันติ ของไทยและกัมพูชา ขณะที่คปท.ยื่นหนังสือผ่านผู้ว่าฯ จันทบุรี ถึงกระทรวงต่างประเทศ ขอให้เลื่อนการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา เรียกร้องยกเลิก MOU 43-44 หวั่นกระทบอธิปไตย

วันนี้ (21 ต.ค. 68) ที่ โรงแรมมณีจันท์ อ.เมือง จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม 2568 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) สมัยวิสามัญ วันที่ 21–22 ตุลาคม 2568 โดยได้เชิญฝ่ายกัมพูชาเข้าร่วมพูดคุย โดยมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูตและที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดน เป็นประธาน JBC ฝ่ายไทย และยังมีผู้แทนจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย และเหล่าทัพของไทยเข้าร่วมหารือกับ นาย ฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ที่มาเป็นประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา ด้วย การประชุมครั้งนี้ได้มีความเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน เมื่อเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านและเรียกร้องให้มีการยกเลิกการประชุมดังกล่าว เนื่องจากมีความกังวลอย่างยิ่งว่าการดำเนินการตามกรอบความตกลงเดิมอาจนำมาซึ่งการสูญเสียอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติไทย

นายพิชิต ไชยมงคล ตัวแทน คปท. ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนถึงเหตุผลหลักในการยื่นหนังสือคัดค้านครั้งนี้โดยระบุว่าการประชุม JBC ที่อิงกับบันทึกความเข้าใจ MOU 43 และ MOU 44 ก่อให้เกิดปัญหาตามแนวชายแดน คปท. ได้เสนอข้อเรียกร้อง 4 ประเด็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เพื่อให้ส่งต่อคณะกรรมาธิการฯ โดยมีสาระสำคัญคือ ประการแรก การประชุมดังกล่าวจะยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนและทหารกัมพูชาสามารถอาศัยและปลูกสร้างบ้านเรือนในพื้นที่ที่อาจรุกล้ำอธิปไตยเขตแดนไทยต่อไป ประการที่สอง การยอมรับการประชุมภายใต้บริบทที่เป็นอยู่เท่ากับเป็นการยอมรับความสูญเสียในชีวิตของคนไทยและทหารไทย ซึ่งเป็นผลมาจากความรุนแรงและการใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามของฝ่ายกัมพูชา ประการที่สาม คปท. เห็นว่าการจัดประชุมครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่ไม่รับฟังข้อทักท้วงจากภาคประชาชน โดยเฉพาะการมีข้อตกลง 4 ฝ่ายที่เชิญสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเป็นสักขีพยานรองรับ ซึ่ง คปท. เกรงว่าสถานะความเป็นรัฐเอกราชและปัญหาอธิปไตยเขตแดนไทย-กัมพูชาอาจอยู่ภายใต้การควบคุมชี้นำจากมหาอำนาจและประเทศเพื่อนบ้าน และประการสุดท้าย การเดินหน้าประชุมในครั้งนี้อาจส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียสิทธิอันชอบธรรมในการบอกเลิกบันทึกข้อตกลง MOU 43 และ MOU 44 ด้านนายมนต์สิทธิ์ ได้ออกมารับหนังสือและกล่าวว่า ตนจะทำหน้าที่เป็นคนกลางในการรับฟังความคิดเห็นจากเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย และยืนยันว่าจะนำหนังสือคัดค้านและข้อเรียกร้องทั้งหมดนี้ส่งต่อไปยังคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา เพื่อพิจารณาต่อไปอย่างรอบด้านก่อนการตัดสินใจใด ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศชาติ
สุภาพร นิยมกิจ
ทีมข่าวจันทบุรี







