ปัจจุบันนี้ จังหวัดพิษณุโลก ยังคงเกิดอุทกภัยในที่ราบลุ่ม ม.ยม ที่ยังมีระดับน้ำสูงกินพื้นที่ 3 – 4 แสนไร่ ในภาพรวมของจังหวัด และกำลังเร่งปล่อยน้ำลง ม.น่าน แบบยกบานลอย ส่วนทุ่งบางระกำโมเดล ซึ่งอยู่ฝั่งซ้าย คาดจะระบายน้ำได้ตามแผนที่จะเข้าสู่ภาวะปกติได้ทัน

วันที่ 30 พ.ย.68 เพราะน้ำเหลือเพียง 200 ล้าน ลูกบากศ์เมตร แต่ยังห่วงฝั่งขวาที่ยังมีระดับน้ำสูงกว่า ม.ยม
ปัญหาอุทกภัยในภาคเหนือมากที่สุดตอนนี้ เหลือเพียงในลุ่มน้ำยม ที่ จ.พิษณุโลก เท่านั้น จะมีบางส่วนคาบเกี่ยวไปยังพื้นที่ จ.สุโขทัย และ จ.พิจิตร บ้าง แต่ที่ส่งผลกระทบยาวนานถึงเวลานี้ก็คือ พื้นที่ อ.บางระกำ ซึ่งก่อนหน้านี้น้ำได้เริ่มคลี่คลายลงแล้ว แต่กลับมาเจอพายุลูกสุดท้าย

คือ พายุ คัลแมกี ในช่วง 7-9 พ.ย.68 ที่ผ่านมา ทำให้มีปริมาณน้ำมากขึ้น การระบายน้ำ จาก ม.ยม ลง ม.น่าน จึงช้าลง ทำให้ระดับน้ำขณะนั้นใน อ.บางระกำ สูงกว่าตลิ่งประมาณ 2 เมตร ท่วมทั้งในพื้นที่ชุมชน และพื้นที่การเกษตร ซึ่งทาง จ.พิษณุโลก ก็ได้เข้าให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน ทั้งเร่งรัดเรื่องของการจ่ายเงินเยียวยา แก่บ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบให้เร็วที่สุด ส่วนพื้นที่การเกษตรก่อนน้ำเข้าทุ่ง ก็ได้เก็บเกี่ยวไปหมดแล้ว ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม ตามแนวทางการจัดการของโครงการบางระกำโมเดล จึงไม่มีปัญหา …ส่วนใหญ่ตอนนี้ ปัญหาน้ำท่วมจะส่งผลกระทบต่อชุมชน และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหนทาง เพราะพื้นที่ อ.บางระกำ เป็นที่ลุ่มต่ำที่สุดของที่ราบลุ่ม ม.ยม ซึ่งสองฝากฝั่งทั้งซ้ายและขวา ปัจจุบันยังมีน้ำท่วมรวมทั้งหมดประมาณ 3 – 4 แสนไร่ ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน จากเดิมกว่า 1 ล้านไร่ ตอนนี้ปริมาณน้ำที่กำลังประเมินเพื่อระบายลง ม.น่าน มีประมาณ 400 ล้าน ลบม. ส่วนพื้นที่ ทุ่งบางระกำโมเดล หรือ ม.ยมฝั่งซ้าย วันนี้มีน้ำอยู่ในทุ่ง 200 ล้านลูกบากศ์เมตร กำลังเร่งระบายลงสู่ ม.ยม สายหลัก ทั้งไหลมาตามทุ่ง และด้วยการบังคับน้ำที่ ประตูระบายน้ำบางแก้ว โดยใช้เครื่องดันน้ำแรงสูง เพื่อให้น้ำลง ม.ยมสายหลักเร็วขึ้น จากนั้นน้ำจะไหลไปตามลำน้ำ ม.ยม และลงสู่ ม.น่าน แบบยกบานลอยที่ ประตูระบายน้ำ DR15.8 จำนวน 90 ลูกบากศ์เมตรต่อวินาที และ DR2.8 จำนวน 255 ลูกบากศ์เมตรต่อวินาที วันนี้น้ำลดลงไปอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยวันละ 4 เซนติเมตร ถ้าเป็นไปตามแผนจะระบายให้เข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในวันที่ 30 พ.ย.68 แน่นอน แต่จะระบายไม่หมด เพราะส่วนหนึ่งจะเก็บเป็นน้ำต้นทุนแก่เกษตรกรไว้ใช้ทำการเกษตร ในทุ่งบางระกำโมเดลประมาณ 100 ล้าน ลบม. เพราะฉะนั้น ขณะนี้จึงเป็นการเร่งระบายเพื่อลดระดับน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับชุมชนนั่นเอง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ยังคงมีปริมาณน้ำที่เกินระดับตลิ่ง ม.ยม จากฝั่งขวาแล้วไหลลงสู่ ม.ยม อีก ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับการระบายตามสถานการณ์ แต่ไม่น่าเกินความคาดหมาย
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าปีนี้ประเทศไทยน้ำเยอะมาก ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน ตั้งแต่พายุวิภา-คัลแมกี ตั้งแต่เดือน ก.ค. – พ.ย.68 รวมแล้ว 6 ลูก จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำฝนเกินค่าเฉลี่ยไป 20 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณน้ำมีมากจนส่งผลกระทบต่อเขื่อนที่กักเก็บ ทั้งที่มุมดี ๆ คือ ทำให้เขื่อนสิริกิตต์ เขื่อนภูมิพล และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีน้ำเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ทุกเขื่อน อ่างเก็บน้ำ แก้มลิงต่าง ๆ ก็เต็มหมด เพื่อเป็นต้นทุนน้ำใช้ทำการเกษตรในฤดูแล้ง ส่วนผลกระทบก็คือ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งต่าง ๆ จ.พิษณุโลก ส่วนลุ่มน้ำ ม.วังทอง ม.ชมพู และ ม.ภาค ปีนี้ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันแต่ไม่รุนแรง จะมีผลกระทบก็คือ ม.น่าน ม.แควน้อย แต่ก็โชคดีที่มีเขื่อนคอยคอลโทรลเก็บกัก เช่น เขื่อนสิริกิตต์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ทำให้พื้นที่เศรษฐกิจในเมืองพิษณุโลก ไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก็จะมีน้ำท่วมขังในตัวเมืองบ้าง ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว ม.น่าน ก็เข้าสู่ภาวะปกติ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *