ส่วนราชการภาคประชาชนกระบี่ร่วมแสดงความจงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะวันคล้ายวันประสูติครบ 100 ปีสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา


เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.19 นาฬิกา ที่ห้องประชุมช้างเผือกสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ ถนนท่าเรือ หมู่ที่ 7 บ้านคลองหิน ตำบลไสไทย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยนางศิรินทรทิพย์ ศีลาเทวากูล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดกระบี่ และประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกระบี่ และหัวหน้าส่วนราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการตุลาการ ตำรวจ ทหาร ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พนักงานรัฐวิสาหกิจ ภาคประชาชน รวมถึงภาคเอกชน จำนวน 70 หน่วยงานและองค์กร พร้อมใจกันร่วมสำนักในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภกัดดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และพระบรมวงศานุวงศ์ด้วยการวางพานดอกไม้ถวายสักการะ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติครบ 100 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568


สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระมารดา ทรงพระประสูติเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2468 ณ พระที่นั่งเทพพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร ก่อนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว โดยพระบิดาทรงพระประชวรหนักด้วยโรคพระอันตะมีพระอาการรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลของเหล่าพสกนิกร แม้พระองค์จะประชวยังทรงรอฟังข่าวพระประสูติการอย่างใกล้ชิด และเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2468 เวลาประมาณบ่ายโมง พระนางเจ้าสุวัทนาฯ มีพระประสูติการเจ้าฟ้าหญิง เมื่อพระองค์ได้ทราบข่าวมีพระราชดำรัสว่า ก็ดีเหมือนกัน จากนั้นเมื่อเจ้าพระยารามราฆพได้นำสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์น้อยไปเฝ้า ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พระองค์ได้ทอดพระเนตรทรงพยายามยกพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา แต่ทรงอ่อนพระกำลังมากจนไม่สามารถจะทรงยกพระหัตถ์ได้ เจ้าพระยารามราฆพจึงเชิญพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา เมื่อจะเชิญเสด็จพระราชกุมารีกลับ พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์แสดงพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรพระราชธิดาอีกครั้ง จึงเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอมาเฝ้าเป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งสุดท้ายแห่งพระชนมชีพจนกลางดึกคืนนั้นเองก็เสด็จสวรรคต
เมื่อทรงพระเยาว์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา เริ่มทรงพระอักษรโดยพระอาจารย์จากโรงเรียนราชินี เช่นหม่อมเจ้าหญิงพิจิตรจิราภา เทวกุล อาจารย์ใหญ่โรงเรียนราชินีและโรงเรียนราชินีบน พร้อมด้วยครูพิศ ภูมิรัตน อาจารย์ใหญ่โรงเรียนราชินีเป็นผู้ถวายพระอักษร ณ พระตำหนักสวนหงส์ พระราชวังดุสิต จากนั้นได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ โรงเรียนราชินี ทรงศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการกับท่านผู้หญิงศรีนาถ สุริยะ อาจารย์จากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ณ ตำหนักสวนรื่นฤดี ถนนราชสีมา เมื่อพระองค์ทรงเจริญพระชนมายุขึ้นมีพระอนามัยไม่สมบูรณ์นัก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาบลที่ 7 จึงมีพระราชดำริให้นำไปประทับรักษาพระองค์ ณ ประเทศอังกฤษ ในปี 2480 ซึ่งพระองค์ทรงเสด็จไปประทับอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา และพระชนนี ได้ทรงย้ายที่ประทับหลายแห่งตามลำดับคือ ตำหนักแฟร์ฮิลล์ เมืองแคมเบอร์เลย์ มณฑลเซอร์เรย์ ตำหนักหลุยส์เครสเซนต์ เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค และตำหนักไดก์โรด หรือบ้านรื่นฤดี เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค และประสบความยากลำบากอย่างหนัก เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองในช่วงภาวะสงครามจึงทรงประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการทำงานบ้านเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างข้าหลวงชาวต่างประเทศ
ในขณะที่พระองค์ทรงประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ทรงศึกษาวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และเปียโนกับพระอาจารย์ชาวต่างประเทศ และทรงศึกษาในโรงเรียนประจำสตรีชื่อโรงเรียนเซเครดฮาร์ต แคว้นเวลส์ ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ที่ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ พระองค์และพระชนนีมีพระกรุณาต่อชาวไทยในประเทศอังกฤษ ทรงโปรดให้เข้าเฝ้าและจัดประทานเลี้ยงให้อยู่เสมอ และพระราชทานพระกรุณาแก่กิจการต่างๆของชาวไทยอยู่เป็นประจำ ทรงร่วมงานของสามัคคีสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นสมาคมนักเรียนไทยประเทศดังกล่าวเป็นประจำ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ทรงอุทิศช่วยเหลือกิจการสภากาชาดอังกฤษ ประทานแก่ทหารและผู้ประสบภัยสงครามด้วยการเสด็จไปทรงบำเพ็ญประโยชน์ ทางสภากาชาดอังกฤษจึงได้ถวายเกียรติบัตรประกาศพระกรุณา ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระชนมชีพหลังการสละราชสมบัติแล้ว พระองค์และพระชนนีได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่เสมอ
ต่อมาเมื่อปี 2502 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา ได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวรทรงแบ่งเบาพระราชภาระของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะในด้านสังคมสงเคราะห์ โดยเสด็จออกเยี่ยมราษฎรตามหัวเมืองทั้งใกล้ไกล พร้อมพระราชทานพระอนุเคราะห์แก่ผู้ยากไร้อยู่เสมอ ครั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 9 ทรงเจริญพระวัยขึ้นทรงสามารถแบ่งเบาพระราชกรณียกิจได้ ประกอบกับพระองค์มีพระชนมายุสูงขึ้นจึงได้เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารน้อยลง โดยพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เข้าเฝ้าและได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์อยู่เนืองๆ จนกระทั่งสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา ประชวรด้วยอาการตามพระชันษา คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราชได้เฝ้าระวังพระอาการอย่างใกล้ชิด ในเวลาต่อมาทรงเริ่มมีพระอาการเส้นพระโลหิตอุดตัน ทำให้ทรงขยับพระวรกายด้านซ้ายยากขึ้น คณะแพทย์จึงได้ถวายพระโอสถ และมีนางพยาบาลถวายการดูแล แม้ว่าพระองค์จะทรงรับสั่งได้น้อยลงแต่ก็ทรงเข้าพระทัยทุกอย่างเป็นอย่างดีด้วยการพยักพระพักตร์ ทรงเข้าประทับรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2554 โดยมีคณะแพทย์ถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถ แต่อาการพระประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ ก่อนที่จะได้สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 16 นาฬิกา 33 นาที ของวันที่ 27 กรกฎาคม 2554 สิริรวมพระชันษา 85 ปี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *